พร้อมทดสอบวัดระดับฟรี
4305 VIEWS | 6 MINS READ Wednesday 13 / 11 / 2019
หนึ่งในคำถามที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านความเครียดได้รับมากที่สุดคำถามหนึ่ง คือ “เราจะกำจัดความเครียดออกไปได้อย่างไรบ้าง” คำตอบอาจจะทำให้ผู้ฟังตกใจ แต่วิธีที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตโดยไร้ซึ่งความเครียดมีอยู่ 2 วิธี ข้อแรก ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทุก ๆ คนล้วนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ชีวิตไม่อยู่ในจุดที่สมดุลหรือสงบสุข และคุณจะหายเครียดก็ต่อเมื่อคุณไม่หายใจแล้วเท่านั้น ข้อสองคือ ในขณะที่คุณไม่สามารกำจัดความเครียดหรือความกังวลได้แต่คุณสามารถทำความเข้าใจ และควบคุมความเครียดและความกังวลได้ ในบางครั้งเราก็สามารถใช้มันเป็นตัวนำและดึงพลังออกมา และหากว่าความเครียดสามารถนำมาซึ่งประโยชน์ให้กับคุณ ทำไมคุณถึงต้องพยายามจะกำจัดมันด้วย
สเปกตรัมของความเครียด
หัวใจของการควบคุมความเครียดคือมองให้มันเหมือนกัน โดยให้เรามองข้ามความแตกต่างระหว่างความเครียดที่ดี, ความเครียดที่เป็นพิษและความเครียดที่พอรับได้ เพราะเมื่อเราพูดถึงความเครียดแล้ว มุมมองต่อเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ และเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ยิ่งสำคัญ
ถ้าให้พูดเรื่องของความเครียด อาจบอกได้ว่ามันเกี่ยวกับวิธีการคิดของคุณต่อเรื่องที่เกิดขึ้นและคุณเข้าใจมันมากน้อยแค่ไหนมากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ มุมมองและเรื่องราวที่เราบอกตัวเองอยู่ตลอดจะกลายมาเป็นการแว่นตาที่ทำให้เราเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองว่ามันเป็นปัญหาหรือเป็นโอกาสที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง
ถูกต้องแล้วแหละ มีความเครียดบางประเภทที่เป็นอันตราย ความเครียดชนิดที่เป็นพิษนั้นค่อนข้างจะเป็นอันตราย โดยร่างกายจะเริ่มมีอาการที่เรียกว่า หนีหรือสู้ ความเครียดแบบนี้จะเป็นอันตรายก็ต่อเมื่อไม่ได้ถูกระบายออกมาและเมื่อระบบการป้องกันตัวเองจากความเครียดได้หายไป
ความเครียดชนิดที่ดี หรืออีกด้านหนึ่งของระดับความเครียด คือตัวช่วยที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น มันสามารถช่วยให้คุณรับมือกับเดดไลน์ได้ ช่วยให้คุณผ่านการทำแบบทดสอบไปได้ ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นกับความรักครั้งใหม่ หรือแม้กระทั่งตอนต้องกล่าวสุนทรพจน์ในงาน ๆ หนึ่ง
งานวิจัยชิ้นแรก ๆ ของ Firdaus Dhabhar neuroimmunologist (นักประสาทภูมิคุ้มกัน) ได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการตอบสนองต่อความเครียดที่เกิดขึ้นทันที การทดลองของ Dhabhar แสดงให้เห็นว่าการระบายความเครียดออกมาสั้น ๆ จะช่วยให้คุณหายจากการผ่าตัดได้ดีขึ้น
เมื่อเราเอาความเครียดหลาย ๆ ชนิดมารวมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะแบบที่ดี แบบที่อาจส่งผลไม่ดีกับเราหรือแบบที่เราพอรับได้ ก็ดูเหมือนว่าความเครียดนั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร เว้นซะแต่ว่าเราจะระบายมันออกมาหรือทำความเข้าใจมันซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันความเครียด ในส่วนของความเครียดที่ไม่ร้ายแรงและเราพอรับได้นั้นมักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆ ในข้อความต่าง ๆ ที่นักกวีหรือนักปรัชญาได้บอกเอาไว้ เช่น “อุปสรรคต่าง ๆ ระหว่างทางจะกลายเป็นเส้นทางให้เราต่อไป” หรือประโยคที่บอกว่า “That which does not kill us make us stronger” ที่แปลว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้คุณเจ็บปวด จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น สิ่งที่อยากจะบอกทุกคนคือ ความเครียดไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงหรือไม่ดีอย่างเดียว แต่ในทางกลับกันมันก็เป็นแรงผลักดันให้เรากล้าทำอะไรต่าง ๆ มากขึ้น
ความเครียดที่คุณพอรับได้นั้นจะทำให้คุณโตขึ้น ได้เรียนรู้และได้พัฒนาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มันจะช่วยให้คุณเห็นโลกในรูปแบบต่าง ๆ และไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี ทางออกต่าง ๆ ก็มักจะมาจากความเจ็บปวดที่ต้องลำบาก และเมื่อเรานำรื่องราวเครียด ๆ ต่าง ๆ มาบวกกับความรักที่เรามีต่อตัวเองแล้วนั้นเราก็อาจจะเปลี่ยนจากความเครียดที่อาจส่งผลไม่ดีกับเราให้กลายเป็นความเครียดที่เรารับได้
การจัดการกับความเครียดชนิดที่ดี และการป้องกันความเครียดที่เป็นพิษ
มีบทสัมภาษณ์หนึ่งจากสำนักข่าว CNN ได้สัมภาษณ์ Dr. Michael Gervais นักจิตวิทยาท่านหนึ่ง ในบทสัมภาษณ์บอกไว้ว่าคุณ Gervais ได้ร่วมมือกับนักกีฬาระดับแนวหน้าของโลกเพื่อจะช่วยพวกเค้าในการพัฒนากลยุทธ์ไม่ใช่แค่เพื่อให้นักกีฬาเหล่านั้นเล่นกีฬาได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยทำให้นักกีฬาเหล่านั้นเล่นกีฬาออกมาได้ดีที่สุดในสภาวะกดดันด้วย
ตามที่คุณ Gervais ได้บอกไว้ว่า “ทุกความเครียดที่เข้ามามันหมายความว่าเราได้เข้าไปอยู่ในการเปลี่ยนแปลงแล้ว และทุกคนอยากที่จะเติบโต แต่บางครั้งก็ไม่มีใครอยากเปลี่ยนแปลง” แต่จริง ๆ แล้วคุณจะไม่สามารถเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงได้เลยหากขาดอย่างได้อย่างหนึ่งไป เค้าได้ฝึกนักกีฬาของเค้าให้เห็นและรับรู้ถึงความเครียดมาก ๆ เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงเส้นทางแห่งความเป็นเลิศและทำให้เลิกคิดถึงการหลีกหนีปัญหาต่าง ๆ ในการเห็นจุดต่ำสุดนี้แหละจะนำไปสู่การพัฒนา “ความกดดันอาจจะเป็นของขวัญก็เป็นได้” Gervais กล่าว “มันจะขัดเกลาจิตใจของพวกเรา ทำให้เรามีโฟกัสที่ชัดเจนขึ้น จะไม่มีการเติบโตเลยถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง คุณจะไม่สามารถเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงได้หากขาดอย่างได้อย่างหนึ่ง และทุกความเครียดที่เข้ามาหมายความว่าเราได้เข้าไปอยู่ในการเปลี่ยนแปลงแล้ว
การเปลี่ยนความเครียดให้เป็นเรื่องดีแทนที่จะเป็นตัวทำลาย ต้องอาศัย 3 ข้อ ดังนี้ :
1.การฝึกฝนจิตใจ: Gervais เห็นว่าการฝึกจิตใจเป็นเรื่องหลักที่จะทำให้หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป โดยที่ Gervais ได้ร่วมมือกับนักกีฬาเพื่อจะบอกว่าการฝึกฝนจิตใจนั้นคล้ายกันกับการฝึกฝนอย่างอื่น ที่ต้องฝึกซ้อมบ่อยๆ เขาได้แนะนำว่าการที่เราจะมีความเข้าใจในตัวเองมากขึ้นเราอาจจะต้องบำบัดด้วยการพูดคุย การบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งสังเกตตัวเอง อย่างที่เรารู้กันว่าคุณคือคนที่รู้และเข้าใจตัวเองที่สุด Gervais บอกว่าเมื่อคุณฝึกบ่อยขึ้นการตอบสนองต่าง ๆ ต่อความเครียดก็จะเริ่มชินและทำไปอย่างอัตโนมัติ แม้ในช่วงวิกฤตหรือสถานการณ์ไม่ค่อยดี
2.การทำให้ร่างกายรู้สึกสงบ: ในแต่ละวันที่ผ่านไปของเรานั้นล้วนมีจุดที่เครียดมาก ๆ ไปจนถึงจุดที่เครียดจนควบคุมอารณ์ไม่ได้ และในจังหวะนั้นเองคุณก็อาจจะควบคุมสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ คุณอาจจะต้องพยายามหาช่วงที่ไม่รู้สึกเครียดในแต่ละวัน ควรจะลองพักสักครู่นึงแล้วสงบจิตสงบใจ การฝึกจิตใจ เช่น การนั่งสมาธิหรือโยคะ สามารถช่วยฝึกให้เรามีการป้องกันความเครียดที่ดีขึ้น และที่สำคัญพอ ๆ กับการฝึกจิตนั้นคือการหาช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้เรารู้สึกสงบ เช่น พักสายตาสักครู่ หายใจเข้าออกลึก ๆ ช้า ๆ จุดเทียนหอมระเหย หรืออ่านหนังสือดี ๆ สักบท ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ หรือแม้แต่งีบสักนิด ทั้งหมดนี้ได้ผ่านการวิจัยมาแล้วว่าทำให้เรารู้สึกสุขและสงบ ในงานวิจัยยังบอกอีกว่าการออกกำลังกายนั้นเป็นการระบายความเครียดที่ดีอีกทางหนึ่ง ในส่วนของ Gervais เอง เค้าพบว่าการหายใจนี่แหละเป็นวิธีที่ทำให้ร่างกายของเค้าสงบ สุดท้ายนี้ วิธีป้องกันความเครียดที่คุณเลือกจะเกิดผลก็ต่อเมื่อคุณได้ทำมันจริง ๆ หากคุณไม่ทำมันจะไม่ได้ผลเลยไม่ว่าคุณจะมีความตั้งใจมากแค่ไหน
3.การใช้ความเครียดเป็นแรงบันดาลในการออกแบบความสำเร็จ: Oprah Winfrey ได้บอกไว้ว่า “ผมว่าจักรวาลกำลังกระซิบบอกอะไรกับเราอยู่ตลอดเวลา และถ้าคุณไม่ได้สนใจเสียงกระซิบนั้น มันจะค่อย ๆ ดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อย ๆ ผมว่ามันเหมือนการที่โดนกดหัว ถ้าคุณไม่สนใจมัน มันก็เหมือนมีก้อนอิฐอยู่บนหัวคุณแล้ว และยิ่งถ้าคุณยังไม่สนใจมันอีก ก้อนอิฐก้อนนั้นก็จะตกลงมา
ชีวิตของเรากำลังเคลื่อนที่เป็นจังหวะที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและอาจจะยากลำบากบ้าง มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีผ่านเข้ามาในหลากหลายรูปแบบตลอดทั้งวัน ความเครียดนั้นคล้าย ๆ กับเป็นระบบเตือนล่วงหน้าที่เรามีต่อความจริงบางอย่างที่มันใช้การไม่ได้ อย่างที่เขาบอกว่าอุปสรรคต่าง ๆ ระหว่างทางจะกลายมาเป็นเส้นทางของเรา และความจริงนี้ก็จะไม่เปลี่ยนความรู้สึกไม่สะดวกสบายที่เรารู้สึก มันทำให้เราเริ่มตั้งคำถามต่างๆ
อะไรที่ไม่ได้ผล? ทำไมมันไม่ได้ผล? แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงมันได้อย่างไร? แล้วมีอะไรที่เป็นไปได้อีกบ้างไหม?